พฤติกรรมการอยู่อาศัยของผู้คนเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิด คนส่วนใหญ่อยู่บ้านมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกลับไปภูมิลำเนาหรือการทำงานแบบไฮบริด หรือเลือกที่จะอยู่บ้านมากกว่าตึกสูงทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบมีความคึกคักทั้งในตลาดบ้านใหม่และรีโนเวท ดังนั้นผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างโดยเฉพาะหลังคาและฝ้าผนังซึ่งถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของบ้าน ที่มีสินค้าให้เลือกหลากหลายตอบโจทย์การอยู่อาศัยที่สะดวกสบาย ปลอดภัย ย่อมเป็นแบรนด์ที่คว้าใจผู้บริโภคไปครอง เหมือนอย่างที่ “สมาร์ทบอร์ด” และ “หลังคา” เอสซีจี เป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคชื่นชอบมากที่สุด จากผลวิจัย 2023 Thailand’s Most Admired Brand ในฐานะผู้ผลิตและคิดค้นนวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพการอยู่อาศัยอยู่ตลอดเวลา
คุณอัญชลี ชวนะลิขิกร Head of Housing Product Solution Business กล่าวถึงภาพรวมของตลาดวัสดุก่อสร้างในปีนี้คาดว่ามีทิศทางที่ดีขึ้น หลังภาคการท่องเที่ยวเริ่มกลับมาฟื้นตัว แม้ยังต้องจับตาปัจจัยเงินเฟ้อ ต้นทุนพลังงาน และราคาผลผลิตทางการเกษตร แต่เชื่อว่าแนวทางการทำงานของเอสซีจีที่ดำเนินธุรกิจภายใต้นโยบายการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางจะสามารถส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สะดวกสบาย และมีทางเลือกของสินค้าและบริการที่หลากหลายให้ลูกค้าอย่างครอบคลุมในทุกไลฟ์สไตล์
“สิ่งที่เราทำมาตลอดหลายสิบปี คือการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ดังนั้นสินค้าและบริการที่เรานำเสนอจึงสะท้อนมาจากการทำความเข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง แล้วนำกลับมาประกอบกับเทคโนโลยีที่เราไปศึกษาวิจัย นำมาพัฒนาเป็นสินค้าและบริการต่างๆ ไม่ใช่แค่วัสดุก่อสร้าง แต่เป็นนวัตกรรมที่มีจุดมุ่งหมายทำให้คุณภาพชีวิตและการอยู่อาศัยของผู้บริโภคดียิ่งขึ้น สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว ส่งต่อมาให้ผู้บริโภคทดลองใช้ และมีประสบการณ์ที่ดี สุดท้ายก็จะเกิดการบอกต่อถึงคุณภาพและพัฒนาการที่ไม่หยุดนิ่งของเอสซีจี”
โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีมานี้ ต้องยอมรับว่าผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โควิด เอสซีจีก็ไม่รอช้าที่จะคิดค้นผลิตภัณฑ์ สมาร์ทบอร์ด หลังคา และโซลูชัน เพื่อเติมเต็มการอยู่อาศัยให้อยู่สบายมากขึ้น มีความเป็นส่วนตัว สวยตามสไตล์ที่ชอบ และการคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
สมาร์ทบอร์ด เอสซีจี ตอบโจทย์ทั้งดีไซน์และการใช้งาน
เมื่อผู้บริโภคอยู่บ้านมากขึ้นจึงเกิดความต้องการที่จะสร้างบ้าน หรือตกแต่งต่อเติมบ้าน แน่นอนว่าความสวยงามย่อมมาเป็นอันดับ 1 แต่ความสวยงามยังต้องมาพร้อมกับความอยู่สบายด้วยฝ้าสมาร์ทบอร์ด เอสซีจี รุ่นระบายอากาศ-โพรเทคชั่น มีรูระบายอากาศ ช่วยให้บ้านเย็นและมีตาข่ายป้องกันแมลง มีให้เลือกหลากหลายแบบ ช่วยให้ชายคาบ้านสวย ประหยัดต้นทุน และค่าแรง และรุ่นใหม่มีสีรองพื้นสำเร็จจากโรงงาน ทาสีจริงทับได้เลย และยังมีเนื้อสูตรซูเปอร์ โมเลกุล เพื่อแก้ Pain Point ให้กับช่างได้ทำงานง่ายขึ้น เพราะฝ้ามีเนื้อเหนียวยิงง่ายไม่แตก ช่างจึงทำงานอย่างรวดเร็ว ลดระยะเวลาการติดตั้ง
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญของการอยู่บ้านมากขึ้น เจ้าของบ้านยังต้องการสมาธิในการทำงาน ปีที่แล้วเอสซีจีจึงพัฒนาระบบผนัง SCG Smart Wall Privazy นวัตกรรมระบบผนังกันเสียง ที่สามารถกันเสียงได้สูงสุด 66 STC (Sound Transmission Class) เพื่อแก้ปัญหาการมีเสียงดังระหว่างห้อง ติดตั้งง่าย ลดขั้นตอน เวลา และต้นทุนให้กับลูกค้า ผ่านการทดสอบมาตรฐานประเทศอังกฤษ BS 5234 : Part 2 - 1992 โดยจัดอยู่ในระดับ Severe Duty จึงมั่นใจได้ว่านอกจากจะเพิ่มเรื่องความเป็นส่วนตัวแล้ว ในเรื่องของความแข็งแรง จะเจาะผนังเพื่อยึด หรือแขวนก็สามารถทำได้อย่างสบายใจ
“ปีนี้เอสซีจียังคงไม่หยุดที่จะพัฒนาสินค้าตามความต้องการที่เปลี่ยนไปของลูกค้า ไฮไลท์ในปีนี้เราจะนำเสนอ สินค้าในกลุ่มฟาซาดหรือผนังตกแต่ง เพื่อให้เจ้าของบ้านปรับลุคบ้านให้สวยตามสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง โดยมีผนัง Smartboard High Density ที่มีความหนาแน่นของแผ่นสูง ผิวเรียบ มีหลากหลายสี หรือผนังตกแต่ง รุ่นเฟรทเวิร์คแบบฉลุลาย ที่สามารถนำมา Mix & Match ตามความคิดสร้างสรรค์ของตัวเอง”
ไม่เพียงเท่านั้นยังพัฒนาระบบรั้วตกแต่งเอสซีจี รุ่นเฟรทเวิร์ค (Fence System) ชุดระแนงต่อรั้วแบบจัดเซตกึ่ง สำเร็จรูป ที่มีทั้งแผ่นรั้วฉลุลาย โครงเหล็ก และชุดอุปกรณ์การยึด ให้ความสวยงามแถมสร้างความเป็นส่วนตัว โดยมีให้เลือกหลากหลายสีให้เหมาะกับสไตล์บ้านได้ รวมถึงการออกแบรนด์ใหม่ DECAAR by SCG ซึ่งเป็นโซลูชันฟาซาด และปรับแต่งภูมิทัศน์ภายนอก
สำหรับ Succcess Story ในปีที่ผ่านมาของหลังคา เอสซีจี ต้องบอกว่าสร้างจุดเปลี่ยนให้กับตลาดก็ว่าได้ หลังจากสร้างนวัตกรรมสินค้าและโซลูชันหลังคาภายใต้คอนเซ็ปต์ More Than Roof คือการเป็นมากกว่าหลังคาปกติ แต่ต้องทำให้คุณภาพชีวิตและการอยู่อาศัยดีขึ้นด้วยนวัตกรรม โซลูชัน และความเชี่ยวชาญ โดยมีสินค้าใหม่หลายตัวด้วยกัน อาทิ กระเบื้องหลังคาคอนกรีต เอสซีจี รุ่น Prestige X-Shield Slim หลังคาคอนกรีตแผ่นเรียบที่บางที่สุดของ SCG ตอบโจทย์หลังคาบ้านที่สวยในสไตล์โมเดิร์น ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทำให้กระเบื้องบางลงกว่าเดิมถึง 28% แต่คงความแข็งแรงเท่าเดิม มาพร้อมนวัตกรรมเคลือบสีสูตรพิเศษ X-Shield Technology ช่วยให้สีสวยทนกว่าหลังคาคอนกรีตทั่วไป 3 เท่า
“หลังคารุ่นนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งในแง่ยอดขายและความพึงพอใจของลูกค้าที่ชอบสไตล์ความเรียบและบาง ส่งผลให้สินค้ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราได้พัฒนาต่อยอด ออกสีใหม่อีก 5 เฉดสีในปี 2023”
เอสซีจียังออกแบบโซลูชันให้เจ้าของบ้านอยู่สบายมากขึ้น โดยพัฒนาระบบ SCG Active AIR Quality เครื่องเติมอากาศดีให้บ้านและคอนโด ช่วยเติมและกรองอากาศดีเข้าภายในบ้านและดันอากาศเสียออกนอกตัวบ้าน อากาศจึงสะอาดและปลอดภัยจากฝุ่น PM 2.5 เชื้อโรค แบคทีเรีย และไวรัสต่างๆ นอกจากนี้ ยังเติมออกซิเจนเข้าสู่บ้าน ทำให้อากาศสดชื่น และเพิ่มคุณภาพการนอน ซึ่งเป็นจุดที่เหนือกว่าเครื่องฟอกอากาศทั่วไป
แต่ที่ขาดไม่ได้ก็คือหลังคาโซลาร์รูฟที่เข้ามาตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยสร้างความแตกต่างด้วยทีมช่างที่มีประสบการณ์ บริการตรวจเช็กหลังคาก่อนการติดตั้ง และนวัตกรรมโซลาร์ฟิกซ์ (Solar Fix) ติดแผงโซลาร์โดยไม่ต้องเจาะหลังคา บริการหลังการขายในการตรวจสอบระบบและล้างแผงโซลาร์ และการรับประกัน 25 ปี
คุณอัญชลี กล่าวถึงแผนการทำงานในปีนี้ว่า ยังอยู่ภายใต้คอนเซ็ปต์ต่อเนื่องจากปี 2022 “More Than Roof” นำเสนอนวัตกรรมเพื่อบ้านสวย อยู่สบาย และประหยัดพลังงาน โดยมีสินค้าไฮไลท์ อาทิ หลังคา Metal Roof เอสซีจี เหนือกว่าด้วยเทคโนโลยี NoiseTECH นวัตกรรมเคลือบสีรายแรกใน ASEAN เอกสิทธิ์เฉพาะ SCG ช่วยลดเสียงฝนตกกระทบบนหลังคาได้ดีกว่าหลังคาเมทัลชีทลอนทั่วไปที่บุฉนวนสูงสุดถึง 18%
พิมพ์ลายด้วยระบบดิจิทัลบนผืนหลังคาแล้วนำมาเผาด้วยอุณหภูมิ 1,110 องศาเซลเซียส เพื่อให้สีสวยทน ไม่ซีดจางยาวนานด้วยคุณสมบัติของเซรามิก เปิดตัวคอลเลคชั่นแรกด้วยดีไซน์ลวดลายธรรมชาติเสมือนจริง 3 เฉดสี Sabana Black, Sabana White และ Clay โดยแต่ละสีจะมีลวดลาย Random ทั้งหมดถึง 33 ลาย เพื่อความสวยงามสมจริง
และระบบหลังคาโซลาร์ เอสซีจี ยกระดับให้การใช้ชีวิตในบ้านเป็น “Smart Living” และประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้นด้วยโซลาร์ระบบ Hybrid สามารถกักเก็บไฟฟ้าไว้ใช้ได้ทั้งกลางวันและกลางคืน และเป็นแหล่งสำรองไฟไว้ใช้กรณีไฟฟ้าดับ โดยมีแอปพลิเคชันที่สามารถควบคุมตรวจสอบการผลิตไฟฟ้า และค่าไฟฟ้าที่ประหยัดได้อย่างเรียลไทม์ นอกจากนี้ ยังตอบโจทย์เทรนด์การใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยการมีสินค้าและบริการอย่างเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า หรือ EV Charger ซึ่งเป็นทางเลือกของคนรุ่นใหม่
“โลกเราร้อนขึ้นทุกปี ความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ในขณะที่ค่าไฟกลับปรับขึ้นราคาตามต้นทุนด้านพลังงาน ประกอบกับผู้คนให้ความใส่ใจปัญหาโลกร้อนหันมาใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น ตลาดหลังคาโซลาร์รูฟจึงเติบโตทุกปี ยิ่งเมืองไทยอยู่ในเขตร้อนชื้น หลายปีมานี้ฝนตกหนักสืบเนื่องจากสภาวะอากาศแปรปรวน ดังนั้นการติดตั้งแผงโซลาร์ต้องอาศัยความชำนาญเพื่อลดปัญหาการรั่วซึมด้วย ซึ่งแนวโน้มของตลาดหลังคาโซลาร์รูฟในอนาคตยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่เพียงแต่ประหยัดค่าไฟได้เท่านั้น แต่พลังงานสะอาดกลายเป็นประเด็นสำคัญที่เราทุกคนต้องช่วยกันสนับสนุน เพื่อลดผลกระทบให้กับโลกด้วย”
คุณอัญชลี กล่าวทิ้งท้ายว่า นอกจากนวัตกรรมแล้วสิ่งที่อยู่ในดีเอ็นเอของเอสซีจีมาตลอดก็คือการขับเคลื่อนธุรกิจโดยคำนึงถึง สิ่งแวดล้อม สังคม และหลักธรรมภิบาลตามหลัก ESG สอดคล้องกับ Next Chapter ของเอสซีจี ซึ่งเป็นแนวทาง ที่เอสซีจีกำลังจะมุ่งไปข้างหน้า สร้างการอยู่อาศัยรูปแบบใหม่ที่นอกจากให้ความสะดวกอยู่สบายแล้วยังลดการใช้ทรัพยากรและส่งเสริมให้ผู้บริโภคหันมาใช้ผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้ฉลาก SCG Green Choice
“เอสซีจีมีการออกแบบสินค้าที่ลดการใช้ทรัพยากร ออกแบบกระบวนการผลิตในโรงงานเพื่อลดการใช้พลังงาน ใช้วัสดุทุกอย่างให้เต็มประสิทธิภาพมากที่สุดเพื่อให้เกิด Zero Waste ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคุณสมบัติสินค้าที่ได้รับรองฉลาก SCG Green Choice ทางเลือกใหม่ ที่เปิดอากาสให้ทุกๆ คนได้ใช้สินค้าสีเขียว ซึ่งนอกจากจะช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อมแล้ว ผู้บริโภคต้องได้ประโยชน์ด้วยเช่นกัน เช่น การได้สินค้าที่มีความคงทนยาวนาน ทำให้เราไม่ต้องเปลี่ยนหรือซ่อมแซมเร็ว เป็นการลดการใช้ทรัพยากร และยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายอีกด้วย ซึ่งวันนี้เรามีสินค้า SCG Green Choice ให้เลือกหลากหลาย รองรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ตระหนักในปัญหามากขึ้น แต่เหนืออื่นใด เราหวังว่าแนวทางนี้จะสร้างความยั่งยืนให้กับทุกภาคส่วน ทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และหลักธรรมาภิบาล” ®
Credit : นิตยสาร Brandage